top of page

18 คาเฟ่สุดเก๋าในบางกอกที่นับอายุรวมกันได้ 2,000 ปี

รูปภาพนักเขียน: ChanStella ChantaburiChanStella Chantaburi

+สุดยอดลายแทงที่คนรักกาแฟและหลงเสน่ห์อาคารเก่าที่มีความคลาสสิคไม่ควรพลาด+


ขอเชิญคนรักกาแฟ และคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของอาคารเก่าที่มีประวัติยาวนาน มารวมตัวกันตรงนี้...

เพราะนี่คือสุดยอดลายแทงลับ..ที่จะพาคุณไปสัมผัส 18 คาเฟ่สุดชิคที่รีโนเวทมาจากสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แต่แฝงเสน่ห์สุดคลาสสิคในเขตพระนคร ที่รับรองว่าไปเยี่ยมเยือนแล้วจะได้รูปเก๋ๆมาอวดเพื่อนๆในโซเชี่ยล หรือถ้าใครพาแฟนไปเดทก็จะฟินแน่นอนจ้า

ถ้าอยากรู้ว่ามีคาเฟ่ร้านไหนบ้าง..ตามมาเลยยยย...

1. Patina Bangkok
Patina คาเฟ่สุดคลาสสิคในบ้านเก่าสไตล์จีน 

Patina Bangkok เป็นคาเฟ่ที่ถูกปรับปรุงมาจากบ้านสไตล์จีนโบราณที่มีอายุกว่า 200 ปี ที่ยังคงรักษาโครงสร้างและสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ทั้งหลังคาจั่วและหน้าต่างไม้แบบบ้านไทยโบราณ ประตูทรงโค้งสไตล์จีนและช่องลมฉลุลาย การตกแต่งเป็นสไตล์วินเทจ ร่วมสมัย สอดคล้องกับชื่อร้าน ‘Patina’ ที่หมายถึงร่องรอยเสน่ห์แห่งความคลาสสิกที่เก่าแก่ไปตามกาลเวลา แม้ว่าร้าน Patina Bangkok จะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจาก บรรดาคาเฟ่ฮอปเปอร์ ด้วยสไตล์การตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร มุมถ่ายรูปที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน คือมุมเก้าอี้สูงกับหน้าต่างและผนังที่โชว์ความเก่าแบบดิบๆ และสถาปัตยกรรมความโค้งของอาคาร ที่ถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีมีสไตล์เวอร์ ส่วนด้านในสุดของร้านจะเป็นเคาน์เตอร์บาร์ที่ตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าแชนเดอเลียที่เข้ากันได้อย่างพอดิบพอดี อีกทั้งยังมีหุ่นโล้นซ่าประดับไฟสีส้มยืนเด่นรอให้คุณมาถ่ายรูปอยู่ด้านในด้วย ในส่วนของเครื่องดื่ม ทางร้านได้คัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากดอยสามหมื่น จังหวัดเชียงใหม่ นำมาเบลนด์รวมกับเมล็ดกาแฟบราซิลกลายเป็นกาแฟสูตรเฉพาะของทางร้านที่มีรสชาติเข้มข้นและให้กลิ่นหอมกรุ่นละมุนละไม นอกเหนือจากเมนูกาแฟแล้วยังมีเครื่องดื่มสำหรับคนไม่ทานกาแฟอีกหลายเมนูที่น่าลอง ไม่ว่าจะเป็น Zenryoku Matcha (140 บาท) ชาเขียวมัทฉะพรีเมียมนำเข้าจากเมืองมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น ที่นำมาผสานความนุ่มนวลด้วยนมสด ให้สัมผัสถึงกลิ่นหอมละมุนของชาเขียวแท้ๆได้รสชาติดั้งเดิมแบบญี่ปุ่น และเมนู Thai Derm (100 บาท) ที่ได้จากการนำไซรัปเสาวรสไปเคี่ยวกับใบเตยจนได้กลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมกับโซดาและใบเตยที่ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เหมาะมากสำหรับใช้เติมความสดชื่นระหว่างวัน ร้าน: Patina Bangkok ที่ตั้ง: ซอยวานิช 2 ชุมชนตลาดน้อย เวลาเปิด-ปิด: ทุกวัน เวลา 9.00-17.00 น. โทรศัพท์: 095-740 1965 Facebook: https://web.facebook.com/Patina.bkk การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีหัวลำโพง และเรียกรถ Taxi ต่อมาที่ซอยเจริญกรุง 22

2. โซวเฮงไถ่
คฤหาสน์จีนฮกเกี้ยนโบราณสู่ร้านกาแฟและโรงเรียนสอนดำน้ำ 

“โซวเฮงไถ่ หรือ บ้านดวงตะวัน” เป็นหนึ่งในเก๋งจีนที่โอ่อ่าที่สุดในยุคเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างโดยพระอภัยวานิช (เจ้าสัวจาด) บรรพบุรุษของตระกูลโปษยะจินดาซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายอากรรังนก เพื่อใช้อยู่อาศัยและดูแลกิจการท่าเรือ


นอกจากคฤหาสน์หลังนี้จะมีเอกลักษณ์เป็นซุ้มประตูสีแดงโดดเด่นที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ก่อนก้าวเข้าบ้านแล้ว โซวเฮงไถ่ยังมีรูปแบบการก่อสร้างตามหลักฮวงจุ้ยแบบจีนคือ “ซื่อเหอหยวน” (四合院) หรือ “สี่เรือนล้อมลาน” คือมีเรือนหมู่ 4 หลังล้อมรอบลานกว้างตรงกลาง โครงสร้างของคฤหาสน์หลังนี้ผสมผสานรูปแบบอาคารก่ออิฐถือปูนแบบจีนกับเรือนไทยที่เป็นบ้านใต้ถุนสูง ทำให้มีลักษณะดูคล้ายอาคาร 2 ชั้น บริเวณชั้นบนของคฤหาสน์สร้างด้วยไม้สักทองแผ่นหนาและกว้างมาก และยังมีผลงานการแกะสลักที่สวยงามและการเข้าไม้แบบช่างไม้ฮกเกี้ยนประดับอยู่ ซึ่งสามารถหาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน


ด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการบูรณะและดูแลรักษาคฤหาสน์คหบดีเก่าหลังนี้ให้คงอยู่ในสภาพดี คุณภู่ ภู่ศักดิ์ โปษยะจินดา ทายาทรุ่นปัจจุบันของคฤหาสน์ตระกูลโซวได้ปรับเปลี่ยนบ้านเก่าแก่หลังนี้ให้กลายเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำและร้านกาแฟซึ่งรายรอบด้วยอาคารจีนเก่าแก่ที่น่าจะมีเพียงแห่งเดียวในโลก


หากใครมีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมชมคฤหาสน์เก๋งจีนสุดเก่าแก่แห่งนี้ อย่าลืมอุดหนุนเครื่องดื่มเย็นๆกันสักแก้วสองแก้วนะคะ ทางร้านมีเครื่องดื่มให้เลือกชิมหลากหลายเมนู เช่น กาแฟ ชาหรือมะนาวโซดาในราคาย่อมเยามากๆค่ะ


ร้าน: โซวเฮงไถ่ (So Heng Tai Mansion)

ที่ตั้ง: 282 ซอยดวงตะวัน ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย

เวลาเปิด - ปิด:

- วันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 9.00 – 18.00 น.,

- วันศุกร์และเสาร์ เวลา 9.00 – 21.00 น.,

- วันอาทิตย์ เวลา 9.00 – 18.00 น.,

- ปิดทุกวันจันทร์

โทรศัพท์: 081-752 6775

การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีหัวลำโพง ทางออก 1


3. บ้านขนมปังขิง
ร้านกาแฟในเรือนไทยสไตล์ฝรั่ง

"บ้านขนมปังขิง" เป็นคาเฟ่ที่ถูกรีโนเวทขึ้นจากบ้านไม้เก่าอายุร้อยกว่าปี ที่มีเสน่ห์โดดเด่นของลวดลายแกะสลักบนไม้สไตล์ Ginger Bread ที่ผู้หลงใหลในความคลาสสิคของอาคารเก่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


บ้านขนมปังขิงหลังนี้เป็นบ้านของ อำแดงหน่าย (สกุลเดิม คือ สกุลพราหมณ์) และรองอำมาตย์โท “ขุนประเสริฐทะเบียน (ขัน)” ที่สร้างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456 โดยขุนประเสริฐเป็นผู้สร้างบ้าน และออกแบบสัญลักษณ์ประจำตัวของท่าน แล้วนำมาแกะสลักลายไม้วงกลมเขียนว่า ”ขัน” ที่เหนือช่องลมประตูและหน้าต่างของตัวบ้าน ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้เมื่อไปเยี่ยมชม


เอกลักษณ์ของบ้านขนมปังขิงคือลวดลายฉลุที่สวยงามละเอียดอ่อนบนตัวบ้าน มีความคล้ายคลึงกับ “ขนมปังขิง” หรือคุกกี้ ที่ชาวยุโรปนิยมทานในเทศกาลคริสต์มาส และได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ 4 นิยมสร้างในหมู่คหบดี ขุนนาง และชนชั้นกลาง ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน


คุณธนัชพร คุณารัตนอังกูร ทายาทของท่านขุนประเสริฐ ได้เป็นผู้ริเริ่มการรีโนเวทบ้านครั้งใหญ่เพื่อรักษาสภาพเดิมของบ้านเอาไว้ให้มากที่สุด ตั้งแต่ ผนัง ช่องลม ลายฉลุ บานประตูหน้าต่าง บานพับ บานกระทุ้ง ฯลฯ และปรับเปลี่ยนบ้านสวยๆหลังนี้ให้เป็นคาเฟ่ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้เข้ามาสัมผัสและชื่นชมความงดงามของบ้าน


นอกเหนือจากการมาชื่นชมความวิจิตรสวยงามของบ้านและเก็บภาพความประทับใจไปอวดใน โซเชี่ยลแล้ว ขอแนะนำให้ลองสั่งเซ็ทขนมไทยชุดบัวทอง (599 บาท) มาเป็นพร้อพในการถ่ายรูป ให้ดูเว่อร์วังอลังการไปอีก โดยในเซ็ทประกอบด้วยขนมไทย 8 ชิ้น ไอศกรีม เค้ก 2 ชิ้น และชาร้อน 1 กา หรือหากอยากลดความอลังลงมา ก็มีเซ็ตไอศกรีมใบเตย + บัวลอย (120 บาท) ที่เสิร์ฟมาพร้อมน้ำกะทิอบควันเทียนให้ราดก่อนทาน ก็จะได้รูปที่เลิศเลอเพอร์เฟคมากกก


ร้าน: บ้านขนมปังขิง เสาชิงช้า (Ginger Bread House)

ที่ตั้ง: 47 ซอยหลังโบสถ์พราหมณ์ (เสาชิงช้า) เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

เวลาเปิด - ปิด:

- วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-20.00 น.,

- วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.00-20.00 น.

โทรศัพท์: 097-229 7021

การเดินทาง:

- รถส่วนตัว ไม่มีที่จอดรถ แต่สามารถจอดรถได้ที่ ที่รับฝากรถด้านหลังศาลเจ้าพ่อเสือ, ที่รับฝากรถข้างครัวอัปษร, ที่รับฝากรถโรงแรมศรีกรุงเทพ (ข้างศาลาว่าการกทม.), ที่รับฝากรถร้านรุ่งเรืองพาณิชย์ หรือ ลานจอดรถวัดเทพธิดาราม

- รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีสามยอด ทางออก 3 เดินมาทาง ถ.อุณากรรณ ไปทางเสาชิงช้า 700 เมตร

4. Rue De Mansri
คาเฟ่และสตูดิโอถ่ายภาพที่ปรับเปลี่ยนมาจากอาคารอนุรักษ์ 

“Rue De Mansri” เป็นคำภาษาฝรั่งเศสที่อ่านออกเสียงในสำเนียงปาริเซียงว่า “ครู-เดอ แม้นศรี” หมายถึงถนนแม้นศรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน

คาเฟ่อายุกว่า 150 ปีนี้ตั้งอยู่ในอาคารอนุรักษ์ 3 ชั้นที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมทีอาคารนี้เคยเป็นร้านเครื่องเขียนมาก่อนและถูกทิ้งร้างมานานกว่า 10 ปี จนกระทั่งคุณแทน ดุษฎี สุวณิชยากุล มาพบตึกหลังงามนี้และตัดสินใจเข้ามารีโนเวทอาคารโดยอนุรักษ์โครงสร้างของตึกเดิมเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด มีเพียงการกะเทาะปูนเก่าออกบางส่วนเพื่อให้เห็นความสวยงามของอิฐและวัสดุดั้งเดิม


บรรยากาศและการตกแต่งภายในร้านมีเสน่ห์ดึงดูดน่าค้นหามาก ด้วยการผสมผสานความเป็น อินดัสเตรียลลอฟท์เข้ากับสไตล์วินเทจได้อย่างลงตัว มีเคาน์เตอร์บาร์ที่ทำจากไม้ดีไซน์สวยถูกตั้งอย่างโดดเด่นกลางร้านเพื่อคอยต้อนรับแขกทุกคนที่เข้ามาอย่างอบอุ่น ของสะสมเช่นโซฟาจากฝรั่งเศสอายุกว่า 80 ปีของเจ้าของร้านก็ถูกนำมาใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร้าน


นอกจากบริเวณชั้น 2 ของร้านจะเป็นที่นั่งสุดชิลล์ที่สามารถสังสรรค์กันได้เป็นกลุ่มใหญ่แล้ว ยังเป็นสตูดิโอสำหรับถ่ายภาพอีกด้วย โดยทางร้านมีอุปกรณ์ในการถ่ายภาพทุกอย่างครบครัน ตั้งแต่โต๊ะเครื่องแป้งดีไซน์เก๋ มุมเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับถ่ายแบบ อุปกรณ์ไฟและพร้อพถ่ายภาพ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพตั้งแต่เลนส์ไปจนถึงตัวกล้องให้เช่าด้วยน๊า


อีกมุมภายในร้านที่สายชิลไม่ควรพลาด คือบริเวณดาดฟ้า ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ 360 องศา คนที่ชอบถ่ายภาพทิวทัศน์ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมาเก็บภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่แนะนำให้ขึ้นมาเวลาเย็นสัก 4-5 โมงที่แดดร่มลมตกแล้วจะได้ไม่ร้อนจนเกินไปค่ะ


สำหรับคอกาแฟ บอกเลยว่ากาแฟที่นี่ควรค่ากับการดื่มมาก เพราะทางร้านได้ คุณหมี-วีระชัย มานะชัย จากร้านกาแฟชื่อดัง Bangkok Espresso Bar มาช่วยดูแลเรื่องของเมนูกาแฟให้ โดยเลือกใช้เมล็ดกาแฟจากไร่ดอยช้างที่จังหวัดเชียงราย นำมาผ่านกรรมวิธีการคั่วระดับปานกลาง เมนูซิกเนเจอร์ของที่ร้านคือ Marocchino (75 บาท) ช็อตกาแฟคุณภาพผสมผสานกับแบล็คโกโก้เข้มข้น และเพิ่มความกลมกล่อมด้วยนมสดไล่ชั้นสีสันสวยงาม และ Matcha excellence (100 บาท) ชาเขียว พรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น ชงสด ๆ ใส่นมสดช่วยเพิ่มรสชาติ


อีกหนึ่งความอร่อยที่ไม่ควรพลาดคือ “ครัวซองต์” รสเลิศจากร้าน Nana Jungle ร้านขนมปังโฮมเมดชื่อดังจากเชียงใหม่ ที่ Rue De Mansri ได้รับคัดเลือกให้เป็นเพียงคาเฟ่เดียวนอกเชียงใหม่ที่ได้เสิร์ฟความอร่อยของเบเกอรี่จากร้านนี้ ที่เด็ดคือครัวซองต์รสชาติดีเสมือนไปทานต้นตำรับที่เชียงใหม่กันเลยทีเดียว เพราะทางร้านจะอบสดใหม่วันต่อวัน มีให้เลือก 4 รสชาติความอร่อยคือ Plain, Almond, Ham Cheese และ Chocolate


ร้าน: Rue De Mansri

ที่ตั้ง: 417 ถนนบำรุงเมือง แยกแม้นศรี ตรงข้ามกรมประปา

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 7.00 น. - 17.30 น

โทรศัพท์: 083-158 9999

การเดินทาง: รถยนต์ส่วนตัว จอดรถวัดสระเกศ เดินประมาณ 150 เมตร

5. ฮาเตียน
คาเฟ่สไตล์แอนทีคย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า 

“ฮาเตียนคาเฟ่” เป็นร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่เกิดขึ้นจากความหลงใหลในกาแฟผนวกกับความสนใจด้านสถาปัตยกรรมและความชอบสะสมของเก่าของคุณเบิร์ด เอกภพ โกมลชาติ โดยมีแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อร้านให้เก๋ไก๋จากชื่อเมือง “ฮาเตียน” ของประเทศเวียดนาม ที่มีตำนานเก่าแก่เล่าว่ามีชาวญวนจากเมืองฮาเตียนจำนวนมากได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในย่านพระนคร จนเรียกชื่อเพี้ยนกันมาเป็นคำว่า “ท่าเตียน”


“ฮาเตียนคาเฟ่” ถูกรีโนเวทมาจากตึกเก่า 3 ชั้น ที่ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ความคลาสสิคของตัวอาคารเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี


บริเวณชั้นล่างที่เคยเป็นร้านขายยาจีนมาก่อน ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ชงกาแฟและโชว์ขนมเบเกอรี่ ที่ยังคงรักษากลิ่นอายสไตล์แบบจีนๆเอาไว้ด้วยการนำตู้ยาที่มีล็อกเกอร์เยอะๆ ตะกร้าและกระบุงมาประดับตกแต่ง


เมื่อก้าวขึ้นบันไดมาชั้น 2 จะพบกับความสวยงามที่ลงตัวของการผสมผสานดีไซน์ของตะวันตกและตะวันออกไว้ด้วยกัน มีโซนผนังไม้และกำแพงสีขาวที่ให้อารมณ์แบบไทย-จีน บริเวณด้านในถูกตกแต่งในสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่มีกำแพงสีเขียวแปลกตา ประดับประดาด้วยของสะสมอย่างสัตว์สตั๊ฟ เก้าอี้ โคมไฟและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆของเจ้าของร้าน


สิ่งที่มีความโดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนชั้น 2 คือบันไดวนที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งทำหน้าที่เหมือนประตูวิเศษที่พาเราไปสัมผัสแสงสว่างและความผ่อนคลายบนชั้น 3 ซึ่งถูกตกแต่งด้วยกระจกและผ้าม่านสีขาวที่โปร่งโล่งสบายตา มีระเบียงให้ออกไปชมบรรยากาศแสนคลาสสิคของเมืองเก่าได้


นอกเหนือจากความสวยคลาสสิคของร้านแล้ว เครื่องดื่มและเบเกอรี่ของที่นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด ขอแนะนำเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง Ma-toom Coffee (120 บาท) ที่มีเอกลักษณ์ของไซรัปมะตูมโฮมเมดที่คุณเบิร์ดเจ้าของร้านลงมือทำเอง ซึ่งเข้ากันได้อย่างกลมกล่อมกับกาแฟ อีกเมนูที่แนะนำ คือ Rose Latte (120 บาท) ซึ่งคอกาแฟที่ชื่นชอบกลิ่นกุหลาบไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะทางร้านนำชาอังกฤษไปอินฟิวกับนมเพื่อให้ได้กลิ่นหอมของกุหลาบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น


ร้าน: Ha Tien Café Bangkok

ที่ตั้ง: ซอยประยูรนกยูง (ตรงข้ามที่จอดรถวัดโพธิ์)

เวลาเปิด-ปิด:

- วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00-20.00 น.,

- วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.00-20.00 น.

- ปิดทุกวันจันทร์

โทรศัพท์: 081-302 0651

การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีสนามไชย ทางออก 2

6. บ้านอากงอาม่า
คาเฟ่บ้านไม้เรือนไทยทรงปั้นหยาสุดคลาสสิค 

“บ้านอากงอาม่า” คือร้านกาแฟในบ้านเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใจกลางย่านคลองสาน ในบรรยากาศอบอุ่นชวนให้นึกถึงความทรงจำในวันวาน เสมือนได้กลับบ้านมาเยี่ยมอากงอาม่าในบ้านหลังเก่า


ตัวบ้านเป็นบ้านไม้เรือนไทยทรงปั้นหยาที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 หรือราวปีพ.ศ. 2472 เป็นบ้านเก่าที่ยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความทรงจำของคนในตระกูล “ทังสมบัติ” ครอบครัวชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ภายในบ้านยังคงอนุรักษ์เค้าโครงเดิมตั้งแต่อดีตไว้อย่างดี


เดิมทีครอบครัวทังสมบัติเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลาตรารวงทองในนามบริษัททั่งง่วนฮะ แต่คุณพูนศักดิ์ ทังสมบัติ เจ้าของร้านได้ปรับเปลี่ยนกิจการมาเป็นร้านกาแฟภายหลังการซ่อมบ้านเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 2559


ด้วยชื่อของร้านและทำเลที่ตั้งของร้านซึ่งอยู่ติดกับศาลเจ้ากวนอู ทำให้ร้าน “บ้านอากงอาม่า” มีสไตล์โดดเด่นเหมือนลูกครึ่งไทยผสมจีน ภายในร้านมีมุมถ่ายรูป แนววินเทจๆ ให้เอาไปอวดเพื่อนในโซเชี่ยลได้มากมาย เพียงคุณลองโพสต์ท่าสวยๆดื่มน้ำเก็กฮวยบนเก้าอี้ หรือถ่ายภาพในมุมกว้างที่ถ่ายแพนมาจากโป๊ะเรือและศาลเจ้ากวนอูข้างๆ รับรองว่าจะได้รูปสวยๆที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร


เมนูเครื่องดื่มแนะนำของทางร้านมี 3 เมนูด้วยกัน คือ "น้ำเก็กฮวยสูตรอาม่า" ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะได้สัมผัสกลิ่นเก็กฮวยแท้ตลบอบอวลอยู่ในปาก มีรสชาติหวานนิดๆ กลมกล่อม หอม สดชื่น (30 บาท) ถัดมาคือ "เฉาก๊วยสูตรอาม่า" เมนูคลายร้อนที่ให้สัมผัสความเหนียวนุ่มของเนื้อเฉาก๊วยเมื่อยามเคี้ยว พร้อมความหอมหวานของน้ำตาลอ้อยที่โรยไว้ด้านบน บอกคำเดียวว่า..ฟินมาก (40 บาท) ปิดท้ายเมนู "วุ้นมะพร้าวน้ำหอมสูตรอาม่า" วุ้นมะพร้าวที่ทำจากเนื้อมะพร้าวอ่อนๆ เสิร์ฟมาในกระทงสานเล็ก ๆ น่ารัก ถ่ายรูปลงโซเชียลรับรองว่าเก๋แน่นอน (20 บาท)


ร้าน: My Grandparent's House บ้านอากงอาม่า

ที่ตั้ง: 253 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา3 ถนน สมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 10.00-18.00น.

โทรศัพท์: 02-437 5183

การเดินทาง:

- รถส่วนตัว: มีที่จอดแถวศาลเจ้ากวนอู (คลองสาน)

- รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีอิสรภาพ แล้วต่อแท๊กซี่ประมาณ 2-3 กิโลเมตร

7. กาแฟนรสิงห์
สภากาแฟขวัญใจชนชั้นสูงสมัยรัชกาลที่ 6 

”ร้านกาแฟนรสิงห์หรือ Cafe de Norasingha” เป็นร้านกาแฟแห่งแรกของสยามที่มีชื่อเสียงมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งมักจะถูกใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ของบรรดาพ่อค้า ประชาชนและข้าราชการในสมัยนั้น


สไตล์การตกแต่งภายในร้านมีความหรูหราโอ่อ่า ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุคต้นรัตนโกสินทร์กับอารายธรรมตะวันตกที่เข้ามาในเมืองไทยสมัยนั้น โดยเน้นการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาลและโคมไฟสวยสะดุดตา พื้นกำแพงวาดลวดลายด้วยปูนเปียกเป็นลายดอกไม้งดงาม ไม้แกะสลักตามเสาประตูและหน้าต่างให้กลิ่นอายความคลาสสิคหรูหราสมกับเป็นร้านกาแฟของชนชั้นสูงในอดีต


ไฮไลท์เด็ดอีกอย่างของร้านกาแฟนรสิงห์คือ เก้าอี้ไม้ที่มีพระนามาภิไทยย่อ “รร.” ซึ่งมาจากคำว่า “รามราชาธิบดี” ซึ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งไม่สามารถไปหานั่งที่ไหนได้นอกจากที่นี่


ร้าน: กาแฟนรสิงห์ Cafe Narasingh

ที่ตั้ง: 315 อาคารเทียบรถพระที่นั่ง พระราชวังพญาไท ถนนราชวิถี

เวลาเปิด - ปิด:

- วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 19.00 น.,

- วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.30- 19.00 น.

โทรศัพท์: 02-354-8376, 064-462 3294

การเดินทาง:

- รถส่วนตัว: จอดรถได้ที่พระราชวังพญาไท ใกล้โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

- รถไฟฟ้า (BTS) สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

8. The Mustang Blu
คาเฟ่สุดชิคในโรงแรมที่เผยรอยอดีตอันงดงามของสถาปัตยกรรมโคโลเนียล 

“The Mustang Blu” คืออาคารเก่า 3 ชั้นที่เคยผ่านการเป็นธนาคาร โรงพยาบาล หรือแม้แต่อาบอบนวดชื่อ ‘คลีโอพัตรา’ มาก่อน โดยคุณจอย อนันดา ฉลาดเจริญ ได้ใช้เวลาเพียง 5 เดือนในการชุบชีวิตตึกเก่าที่ถูกปิดร้างมานานกว่า 10 ปีขึ้นมาใหม่โดยยังคงรักษาสถาปัตยกรรมโคโลเนียลดั้งเดิมไว้ให้สมบูรณ์มากที่สุด


ก้าวแรกที่เปิดประตูเข้าสู่ The Mustang Blu เราจะรู้สึกเหมือนได้หลุดไปยังโลกอีกใบ อาคารที่เคยดูเก่าถูกเนรมิตให้ดูสวยร่วมสมัยได้อย่างไร้ที่ติ จุดเด่นตรงกลางโถงต้อนรับคือบันไดวนฉลุลายที่สวยงามสะดุดตา มีเจ้า ยีราฟสตัฟฟ์ยิ้มมุมปากที่หน้าที่เสมือนเป็นแผนกต้อนรับคอยกล่าวทักทายแขกผู้มาเยือน


ภายในคาเฟ่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจซึ่งถูกจัดวางอย่างลงตัวกับอาคารปูน ทุกรายละเอียดที่มีความเป็น “วินเทจรีมิกซ์” ในทุกตารางนิ้วทำให้ The Mustang Blu ดูน่าค้นหาเป็นที่สุด


เมนูเด็ดของคาเฟ่ที่โรงแรมแห่งนี้มีให้ลิ้มลองหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นคาปูชิโน่เย็น (200 บาท) ที่เสิร์ฟมาแบบกาแฟเพียวๆ เพียงเติมไซรัปเพิ่มอีกหน่อยทำให้กาแฟอร่อยเลิศเลอมากกก อีกเมนูที่แนะนำคือ Basque Burnt Cheesecake (300 บาท) ชีสเค้กเนื้อนุ่ม ละมุนลิ้น ทานแล้วไม่เลี่ยน อร่อยสุดยอด


ร้าน: The Mustang Blu

ที่ตั้ง: 721 ถนนไมตรีจิตต์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย (วงเวียน 22)

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน (ยกเว้นวันพุธ) เวลา 11.00 – 20.00 น.

โทรศัพท์: 062-293 6191

การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีหัวลำโพง ทางออก 4


9. พิพิธภัณฑ์ดอกไม้
คาเฟ่กึ่งพิพิธภัณฑ์ในบ้านไม้สักเก่าแสนร่มรื่น 

“พิพิธภัณฑ์ดอกไม้” เป็นคาเฟ่กึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในบ้านไม้สักทรงโคโลเนียลโบราณอายุกว่า 100 ปี ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยเจ้าของคนล่าสุดอนุญาตให้คุณสกุล อินทกุล ศิลปินนักจัดดอกไม้ระดับนานาชาติ เช่าเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์และเผยแพร่ความรู้และสืบสานวัฒนธรรมงานดอกไม้ไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ผู้สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม


การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ จะมีค่าบัตรเข้าชมราคา 150 บาท หรือจะเลือกซื้อเป็นแบบแพ็คเกจราคา 350 บาทก็คุ้มมาก เพราะจะได้ทั้งบัตรเข้าชมและเซ็ทน้ำชาพร้อมขนมไทยโบราณที่หาทานยากจากนานาประเทศ เช่น ขนมไทยอย่างถั่วแปบ ขนมชั้น ขนมญี่ปุ่น และขนมอินเดีย โดยคาเฟ่ Salon du thé ของพิพิธภัณฑ์ดอกไม้นี้จะมีชาดอกไม้ กลิ่นต่างๆให้คุณได้เลือกลิ้มลอง เช่น ชาพะยอม ชากุหลาบ ชาหอมหมื่นลี้ ฯลฯ


ในแต่ละวันจะมีการเข้าชม 6 รอบๆละประมาณ 45 นาที (มีบรรยายภาษาไทยและอังกฤษ) โดยมีผู้นำชมนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ใน 7 ห้อง ได้แก่

=> ห้องที่ 1 “หอภาพดุสิต”

ภาพของการจัดดอกไม้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ที่จัดแสดงภาพประวัติศาสตร์หลายๆ ภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

=> ห้องที่ 2 “โลกแห่งวัฒนธรรมดอกไม้”

ซึ่งรวบรวมการจัดดอกไม้ของประเทศต่างๆ ในโซนเอเชียอย่างอินเดีย, ญี่ปุ่น, บาหลี, ธิเบต และลาว มีไฮไลท์ที่หาชมได้ยากคือ “ตำราลับแห่งการจัดดอกไม้แบบโชกะของอิเคโนโบะ” หนังสือม้วนโบราณปี ค.ศ.1756 หรือสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศของไทย

=> ห้องที่ 3 “ประเพณีแห่ต้นดอกไม้”

ประเพณีเก่าแก่ที่เชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศลาว แต่ได้สูญหายไปแล้ว เหลือเพียงที่สุดท้ายคือที่จังหวัดเลย ประเทศไทยเท่านั้น

=> ห้องที่ 4 และ 5 “งานดอกไม้ไทย”

รวบรวมเทคนิคต่างๆ ในการจัดดอกไม้ไทย

=> ห้องที่ 6 “ปากกา ดินสอ ความเป็นไปได้”

ห้องที่นำตัวอย่างการสเก็ตภาพของคุณสกุลมาให้ดูว่าท่านนำความรู้ด้านวิศวกรรมมาผสมผสานกับการจัดดอกไม้ได้อย่างไร

=> ห้องที่ 7 “ความลับหมายเลข 9”

ห้องที่รวบรวม 9 เทคนิคการจัดดอกไม้ของคุณสกุลโดยเน้นที่ความสวยงามของดอกไม้ที่แท้จริง ไม่ต้องลงทุนหรือใช้เงินเยอะ


ใครที่อยากชมความสวยงามของบ้านทรงปั้นหยาโบราณ เคล้ากับการจิบชากลิ่นมวลดอกไม้ภายในสวนร่มรื่นเขียวขจีในใจกลางกรุงเทพ ก็อยากแนะนำให้ลองไปสัมผัสประสบการณ์นี้ดูสักครั้งค่ะ


ร้าน: พิพิธภัณฑ์ดอกไม้ (The Museum of Floral Culture)

ที่ตั้ง: 315 ซอยองค์รักษ์ 13 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 10.00 – 18.00 น.

ค่าเข้าชม: คนละ 150 บาท มีมัคคุเทศก์นำชม โดยมีรอบนำชม ดังนี้

รอบที่ 1 เวลา 10.30 น.

รอบที่ 2 เวลา 11.30 น.

รอบที่ 3 เวลา 13.00 น.

รอบที่ 4 เวลา 14.30 น.

รอบที่ 5 เวลา 16.00 น.

รอบสุดท้าย เวลา 17.00 น.

โทรศัพท์: 02 669 3633-4

การเดินทาง:

- รถส่วนตัว: ตรงเข้าซอยสามเสน 28 ประมาณ 500 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยองครักษ์ 13 ประมาณ 30 เมตร มีที่จอดรถ

- รถไฟฟ้า (BTS): สถานีอารีย์ และต่อรถแท๊กซี่

10. บ้านเลขที่ ๑
คาเฟ่ในบ้านนีโอคลาสสิคที่มีประวัติยาวนานและความงามเหนือกาลเวลา 

“บ้านเลขที่ ๑” ในซอยเจริญกรุง 30 หรือตรอกกัปตันบุช เป็นบ้านที่ได้รับเกียรติให้เป็นอันดับหนึ่ง โดยเขตบางรักเห็นว่าเป็นบ้านที่สร้างบนที่ดินแปลงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระราชทานแก่พระมเหสีของพระองค์เจ้าสายวลีภิรมย์และลูกๆ พระมหากษัตริย์ แล้วให้คณะองคมนตรีจัดการที่ดินโดยแบ่งให้เช่า และในอดีตเคยถูกใช้เป็นสำนักงานของบริษัทโรงกลั่นฝรั่งเศสมาก่อน


บ้านเลขที่ ๑ เป็นอาคาร 2 ชั้นที่มีสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกของยุโรปมีหลังคาทรงปั้นหยาพร้อมจั่วกลางที่ด้านหน้า มีผนังสีเหลืองและหน้าต่างสีเขียวมะกอกตัดด้วยกรอบสีขาว ประตูและหน้าต่างมีรูปโค้งแบบโรมันที่งดงาม แสดงถึงความแข็งแกร่งและเคร่งขรึม ตกแต่งด้วยผนังลวดลายร่องในลักษณะเดียวกับการก่ออิฐแบบยุโรป พื้นชั้นล่างปูด้วยกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนชั้นบนปูด้วยไม้สัก


เดิมที บ้านเลขที่ ๑ จะไม่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาเยี่ยมชม แต่ปัจจุบันคาเฟ่ไอเฟล (Cafe Eiffel) ร้านขนมสไตล์ฝรั่งเศสได้มาเปิดป็อปอัพเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มอยู่ด้านใน ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปนั่งเล่น จิบกาแฟเคล้าครัวซองค์พักผ่อนในบรรยากาศบ้านเก่าร่วมสมัยที่มีกลิ่นอายตะวันตกผสมอยู่ได้


เมนูขนมแนะนำของร้านไอเฟลคือครัวซองต์ ซึ่งมีให้เลือกกว่า 10 รสชาติ โดยเมนูที่แอดมินชอบคือ Croissant egg lava (80 บาท) ครัวซองต์ที่ผิวด้านนอกมีความกรอบ แต่เมื่อผ่าออกจะมีไส้ครีมลาวาไหลเยิ้มออกมา ส่วนเครื่องดื่ม มีทั้งเมนูคาเฟอีนและไร้คาเฟอีน ซึ่งแก้วที่อยากแนะนำให้ลองคือ Iced coconut coffee (120 บาท) ซึ่งเป็นกาแฟใส่ทั้งเนื้อและน้ำมะพร้าวรสกลมกล่อมกำลังดีค่ะ


ร้าน: บ้านเลขที่ ๑ (House No.1)

ที่ตั้ง: 723 ตรอกกัปตันบุช (ซอยเจริญกรุง 30) บางรัก

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 10.00 – 18.00 น.

โทรศัพท์: 06-3635-6339, 02-263-2500 #550 ,

การเดินทาง:

- รถยนต์ส่วนตัว: มีที่จอดรถให้บริการ (ค่าบริการชั่วโมงละ 20บาท)

11. Buddha & Pals
คาเฟ่แอนทีคที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวโบราณย่านนางเลิ้ง 

แรกเริ่มเดิมที ตึกแถวโบราณอายุกว่า 80 ปีแห่งนี้ เคยเป็นโรงงานผลิตน้ำมันมวยมาก่อน เจ้าของเดิมคือท่านหลวงสิทธื์ โยธารักษ์' หมอยาผู้คิดค้น 'ยาประสระนอแรด หรือ น้ำมันมวย' ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยก่อน ในเวลาต่อมาทายาทของท่านได้ใช้อาคารหลังนี้เป็นร้านสูทและร้านเครื่องประดับ จนกระทั่งทายาทรุ่นที่ 4 และ คุณแมค ภีระสิทธิ์ สีมูลเสถียร ได้สานต่อการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่หลังนี้โดยรีโนเวทให้เป็นโฮสเทล Kanvela House และร้านกาแฟ Buddha & Pals ในปัจจุบัน


กว่า 2 ปีของการรีโนเวท ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาคารเดิมบางส่วน เช่นการทุบกำแพงเพื่อให้พื้นที่เชื่อมต่อกันเป็นห้องกว้าง มีการรื้อฝ้าเก่าออกให้เหลือเพียงพื้นไม้ชั้น 2 เพื่อทำให้เพดานดูโปร่งโล่งสบายขึ้น มีการเจาะพื้นไม้บางจุดบนชั้น 2 เพื่อให้ต้นไม้ที่ปลูกจากด้านล่างสามารถเติบโตขึ้นไปรับแสงตามธรรมชาติได้ มีการนำกระจกใสบานใหญ่มาตกแต่งหน้าร้าน และด้วยการผสมผสานการตกแต่งแบบ Rustic เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ Vintage ได้อย่างลงตัว ทำให้ตึกเก่าย่านนางเลิ้งแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง


ชื่อเก๋ไก๋ของร้านคาเฟ่ มาจากคำว่า “Buddha” ที่สื่อถึงความสงบๆใกล้วัดในย่านเมืองเก่า ส่วนคำว่า “Pals” สื่อถึงมิตรภาพและความสนุกสนานครึกครื้น ทำให้ Buddha & Pals กลายเป็น Community แห่งใหม่ที่เหมาะกับการมาแฮงค์เอาท์กับเพื่อนๆ


เมนูแนะนำที่คนมาร้านนี้ห้ามพลาด คือ Karnvela 59 (130 บาท) อเมริกาโนรสเข้มข้นที่เข้ากันได้อย่างกลมกล่อมกับความเปรี้ยวอมหวานของน้ำผึ้งและเลมอน ที่ใครได้ชิมแล้วต้องติดใจ


ร้าน: Buddha & Pals

ที่ตั้ง: ถนนกรุงเกษม (ใกล้วัดโสมนัสราชวรวิหาร) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 10.00 – 19.00 น. [ช่วงโควิด เปิดรับเฉพาะ Take Out / Take Away เท่านั้น]

โทรศัพท์: 061-585 9283

การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีหัวลำโพง

12. Fa Ka Fei
คาเฟ่สไตล์โรงเตี๊ยมจีน ที่ปรับเปลี่ยนมาจากตึกเก่า 

“Fa Ka Fei ฟา คา เฟย (发咖啡)” คาเฟ่เล็กๆสไตล์จีน ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านสวนมะลิ ถูกจำลองให้เป็นโรงเตี๊ยมจีนโบราณ


เดิมทีที่ตั้งของร้านเป็นบ้านเก่าสำหรับเก็บเซียงกง โดยคุณแตง และ คุณจั๊ม - เจ้าของร้าน นำมา รีโนเวทเป็นออฟฟิส และพยายามรักษาโครงสร้างของอาคารรูปแบบเดิมที่อายุกว่า 80 ปีไว้ให้มากที่สุด แล้วจึงค่อยเพิ่มคาเฟ่เล็ก ๆ เข้าไปในภายหลัง จนพัฒนากลายมาเป็น Fa Ka Fei


ชื่อร้านมีที่มาจากคำว่า “ฟา” ที่มาจากคำว่า กงสี่ฟาไฉ มารวมกับ “คาเฟย” ที่มาจาก คาเฟ่ ออกมาเป็นชื่อ “ฟา คา เฟย” ล้อกับชื่อออฟฟิศ “ฟ้าคะนอง” ที่ตั้งอยู่ติดกันนั่นเอง


เมนูเครื่องดื่ม Signature ของร้าน ก็ถูกตั้งชื่อเป็นภาษาจีนที่เข้ากั๊น..เข้ากันกับคอนเซ็ปต์ของร้าน เมนูแนะนำคืออู่หลงไคว่เล่อ (150 บาท) ชาอู่หลงที่ถูกนำมาดัดแปลงใหม่ให้เป็นแบบม็อกเทล โดยเชคเข้ากับน้ำส้มยูซุ ออกมาเป็นรสชาตินุ่มนวลได้ความหวานอมเปรี้ยวที่พอดี เหมาะดับอากาศร้อน ๆ ยามบ่าย เมนูต่อมาคือ เจ้าหญิงผู่เอ๋อร์ (140 บาท) ที่มีคาแร็กเตอร์ของหญิงสาว มีส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัวคือ รากบัวกรานิต้ากับพุทราจีนที่ให้รสหวาน ผสมกับชาผู่เอ๋อร์ที่ดีต่อสุขภาพ อีกเมนูที่น่าสนใจ คือ หวังอิงเลี่ยว (140 บาท) ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรจีน ให้กลิ่นอายของความเป็นจีนได้อย่างครบถ้วน ประกอบไปด้วยกาแฟ Cold Brew ผสมเข้ากับสมุนไพรจีนและหล่อฮั่งก้วยที่ให้รสสัมผัสเย็นสดชื่น ดีต่อร่างกายในช่วงบ่าย


ส่วนเมนูขนมที่อร่อยจนไม่อยากให้พลาด คือเมนู หยินหยาง (160 บาท) ไอศกรีมโฮมเมดรสน้ำเต้าหู้และงาดำเข้มข้น ที่มีสีขาวและสีดำตัดกันเหมือนหยิน-หยาง เสิร์ฟพร้อมวาฟเฟิลและเครื่องเคียงสไตล์จีนที่เข้ากันได้อย่างกลมกล่อมมาก


ร้าน: Fa Ka Fei

ที่ตั้ง: 97 ถนนเฉลิมเขตร์ 4 แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 10.30-18.00 น.

โทรศัพท์: 093-969 2449

การเดินทาง:

- รถยนต์ส่วนตัว: มีที่จอดรถหน้าร้าน 3 คัน

- รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีวัดมังกร (ต่อรถรับจ้าง)

13. บ้านอาจารย์ฝรั่ง x Craftsman Roastery
ร้านกาแฟที่อวบอวลไปด้วยกลิ่นอายการใช้ชีวิตของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี 

“บ้านอาจารย์ฝรั่ง x Craftsman Roastery” คือการผสมผสานที่ลงตัวและกลมกล่อมที่สุดของร้านกาแฟคุณภาพมาตรฐาน Craftsman Roastery ที่มาตั้งอยู่ภายในบ้านหลังแรก ที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี “บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย” เคยอยู่อาศัย


โดยบ้านสีเหลืองหลังงามสไตล์ไทยผสมวิคตอเรียนกอธิคอายุร่วมร้อยปีหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) ซึ่งในเวลาต่อมาอาจารย์ศิลป์ พีระศรีได้เข้ามาพักอาศัยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นเวลาประมาณ 8 ปี


ศาสตราจารย์ศิลป์ถือเป็นชาวต่างชาติ (ชาวอิตาลี) ที่มีคุณูปการต่อวงการศิลปะไทย โดยท่านได้สร้างโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้นเพื่อให้คนไทยสามารถสร้างผลงานรูปแบบตะวันตกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาช่างตะวันตก ซึ่งในเวลาต่อมาโรงเรียนของท่านได้กลายเป็นโรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง และเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากรในปัจจุบัน


บ้านหลังนี้เคยถูกปรับปรุงมาก่อนหน้าครั้งหนึ่งแล้ว โดยทาสีเหลืองสดภายนอกอาคาร แต่ภายในยังคงสีเดิมของอาคารเอาไว้ ด้วยการขูดผนังเพื่อให้พบชั้นสีเดิมของบ้าน เมื่อ Craftsman Roastery เข้ามาใช้พื้นที่ทำคาเฟ่ก็ได้ออกแบบตกแต่งภายในโดยคำนึงถึงการรักษาความงดงามตามสภาพดั้งเดิมของตัวอาคารเก่าไว้ได้อย่างดีเยี่ยม


บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้านจัดเป็นหอประวัติของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี และห้องแสดงผลงานของลูกศิษย์รุ่นที่ได้รับการสอนโดยตรงจากอาจารย์ ชั้นล่างแบ่งสัดส่วนเป็นห้องโถงใหญ่ 2 ห้องและห้องย่อยอีก 1 ห้อง ที่สามารถเดินทะลุถึงกันได้หมด ใช้แสงธรรมชาติเป็นหลัก ผสมกับแสงไฟจากโคมไฟเดิมที่ติดอยู่ในบ้านอยู่แล้ว ก็เพียงพอที่จะสร้างบรรยากาศนั่งดื่มกาแฟได้ทั้งวัน โดยทางร้านได้นำภาพวาดผลงานของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และศิลปินรุ่นใหม่มาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือน ได้ดื่มด่ำไปกับสุนทรีย์แห่งงานศิลป์ได้อย่างเต็มที่


ทางร้านได้สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่ม Signature ชื่อ “Sparkling Tamarind” ขึ้นมาภายหลังจากที่ทราบว่าอาจารย์ศิลป์ พีระศรีโปรดปรานน้ำมะขามเป็นพิเศษ (ทราบจากลูกของแม่บ้านที่เคยดูแลท่านมาก่อน) โดยเมนูน้ำมะขามผสมน้ำผึ้งป่าและน้ำสปาร์คกลิ้งนี้จะมีรสซ่าๆผสมความเปรี้ยวอมหวานที่ปลุกความสดชื่นได้ทันตาเห็น แอดมินจึงอยากแนะนำให้ลองสั่งมาชิมกันดูนะคะ


ร้าน: Silpa Bhirasri’s place บ้านอาจารย์ฝรั่ง

ที่ตั้ง: สำนักงานตรวจสอบภายในทหารบก ถนนราชวิถี เชิงสะพานซังฮี้

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 7.00 – 19.00 น.

โทรศัพท์: 086-688 5442, 065-234 0044

การเดินทาง:

- รถยนต์ส่วนตัว: มีที่จอดรถบริการ

- ทางเรือ: ลงท่าเรือซังฮี้ เดินต่อ 300 เมตร

- รถไฟฟ้า (BTS): สถานีอนุสาวรียชัยสมรภูมิ แล้วต่อแท็กซี่

14. Wallflowers Café
คาเฟ่ที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นอายอาคารเก่า 

“Wallflowers Café” เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ย่านเยาวราชที่น่าเช็คอินมาก เพราะที่นี่คือคาเฟ่ดอกไม้สไตล์ English Cottage Garden ที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณชั้น 2 ของตึกแถว 3 ชั้นเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีที่ได้รับการรีโนเวทใหม่ โดยผสานเสน่ห์ของร้านจัดดอกไม้เข้ากับพื้นที่คาเฟ่ในบรรยากาศคาเฟ่ชนบทแถบยุโรปได้อย่างลงตัว


เดิมทีตึกแถวแห่งนี้เคยเป็นพื้นที่ร้านชามาก่อน จึงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้สอยต่างๆมากนัก ผนังเกือบทั้งหมดยังคงถูกรักษาสภาพเดิมไว้เพื่อสะท้อนเสน่ห์อันน่าหลงใหลของตึกเก่า ทางร้านเพียงปรับเปลี่ยนทางเข้าบางส่วนให้เหมาะกับการใช้เป็นพื้นที่ส่วนต้อนรับของร้านจัดดอกไม้ด้านล่าง โดยนำช่อดอกไม้แห้งมาประดับตกแต่งเพื่อช่วยบังตาและกรองแสง ทำให้แขกผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางผนังดอกไม้ซึ่งปกคลุมหน้าร้าน นอกจากนี้ยังตกแต่งช่องกระจกให้เป็นเสมือนกรอบรูปด้วยกรอบไม้สีเขียวเข้มเติมเต็มด้วยช่อดอกไม้แห้งและไม้ใบเขียวชอุ่มต้นใหญ่สร้างบรรยากาศความร่มรื่นบริเวณทางเข้าร้าน


ภายในร้านถูกตกแต่งสไตล์วินเทจ สวยงามคลาสสิค เพราะถูกประดับตกแต่งด้วยของโบราณหายากและดอกไม้สุดเก๋ที่มีดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่ละมุมของร้านทำให้รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติเพราะมีทั้งดอกไม้สดและดอกไม้แห้งวางประดับทั้งร้าน


บนชั้น 3 เป็นที่ตั้งของบาร์ลับบน Rooftop หรือ Wallflower Upstairs ที่เหมาะมากกับการไปนั่งชิลๆ ชมวิวรับบรรยากาศด้านบนของคาเฟ่ ยิ่งขึ้นมาเวลาพระอาทิตย์ตกก็ยิ่งฟินไปอีกแบบเลย


เมนู Signature ที่ไม่ควรพลาดของทางร้าน คือ The Old-Fashioned Boy ซึ่งเป็นกาแฟใส่น้ำส้มที่หอมอร่อย ตกแต่งด้วยอบเชยและผลไม้ แอดมินแนะนำให้ลองสักครั้ง..แล้วคุณจะติดใจ


ร้าน: Wallflowers Cafe

ที่ตั้ง: 31-33 (ตลาดนานา เยาวราช) ซอยนานา แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น.

โทรศัพท์: 090-993 8653

การเดินทาง:

- รถส่วนตัว ไม่มีที่จอดรถ แต่จอดได้ที่โรงแรม PRIME (ค่าจอดรถชั่วโมงละ 40 บาท) แล้วเดินมาประมาณ 500 เมตร

- รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT): สถานีหัวลำโพง ทางออก 2 เดินต่อ 400 เมตร

15. Chata Specialty Coffee
ร้านสุดคลาสสิคที่เกิดขึ้นจากโชคชะตาและฟ้าลิขิต 

“Chata Specialty Coffee” ร้านกาแฟที่มาพร้อมบรรยากาศสุดคลาสสิกและรูปแบบสไตล์การตกแต่งร้านที่ไม่เหมือนใคร เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรม Baan2459 บูทีคโฮเทลในย่านเยาวราช (ที่รีโนเวทมาจากบ้านหลังเก่าสมัย รัชกาลที่ 6 ที่ดัดแปลงเป็นโรงแรมแล้ว) ของคุณสุขสันต์ เอื้ออารีชน เจ้าของโรงแรม


ชื่อ “Chata” มาจากคำว่า “ชะตาลิขิต” เพรคุณสุขสันต์รู้สึกเหมือนถูกโชคชะตาลิขิตให้ได้มา สร้างโรงแรม และได้มาพบกับกำแพงอิฐเก่าด้านหลังโรงแรม จนเกิดไอเดียอยากสร้างร้านกาแฟนี้ขึ้นมา


ภายในร้านตกแต่งในสไตล์ Contemporary Loft ที่ผสานความคลาสสิกของเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้เข้ากับผนังอิฐเก่าอันเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ได้อย่างลงตัว มีเคาน์เตอร์ของธนาคารสมัยก่อนมาเป็นเคาน์เตอร์รับออเดอร์ มีการใช้สีเขียวไข่กาและลวดลายของพื้นกระเบื้องทำให้อาคารมีความคลาสสิคยิ่งขึ้น


จุดเด่นของร้านคือการสร้างเรือนกระจกสูงขนาดใหญ่สีดำแทรกตัวอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ติดกับกำแพงรั้วอิฐเก่าอายุกว่า 102 ปีที่มีร่องรอยของความผุพังตามกาลเวลา จนเผยให้เห็นอิฐมอญสีส้มตัดกับสีของปูนที่ฉาบกำแพงไว้ซึ่งดูสวยคลาสสิคมาก นับเป็นการผสานกันระหว่างความใหม่และความเก่าได้อย่างลงตัว ภายในเรือนกระจกมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่แบบ long table ให้ลูกค้านั่งล้อมรอบตรงกลางร้าน ด้านบนเป็นหลังคากระจกที่รับแดดรำไรทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นมาก


เครื่องดื่มที่ร้านนี้มีความพิเศษทั้งในเรื่องของเมล็ดกาแฟและรสชาติ มีการนำเมล็ดกาแฟจาก 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย เอธิโอเปีย บราซิลและอินเดีย มาเบลนด์ใหม่เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของ Chata เมนูแนะนำคือ Caffe Latte (100 บาท) ที่ใช้เมล็ดกาแฟคั่วในระดับที่เหมาะสม เมื่อนำมาผสมกับนมสดที่ใช้สำหรับชงกับกาแฟโดยเฉพาะ จึงได้รสชาติที่กลมกล่อม, Piccolo Latte (100 บาท) กาแฟที่คล้ายกับลาเต้ทั่วไป เพียงแต่เสิร์ฟมาในถ้วยที่มีขนาดเล็กกว่า เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของนมน้อย ๆ แม้จะมีรสที่เข้มข้นกว่าแต่ก็ให้ความละมุนไม่แพ้กัน และยังมี Drip Coffee (120 บาท) กาแฟดริปสูตรเฉพาะซึ่งครีเอทรสชาติได้ตามที่ต้องการ ลิ้มรสความเข้มแบบขมปนหวานพอดีที่ไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน


เค้กขนมต้ม เป็นหนึ่งในเมนูไฮไลท์ของร้าน เป็นเค้กที่มีความนุ่มฟูและครีมที่หอมมัน มีขนมต้มชิ้นเล็กตกแต่งเป็นหน้าเค้ก โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกเชื่อมอบควันเทียน ที่ทานด้วยกันแล้วรสชาติ กลมกล่อม หวานหอมกำลังดี


ร้าน: Chata Specialty Coffee

ที่ตั้ง: โรงแรม Baan2459 (ย่านเยาวราช) 98 ถนนพาดสาย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร

เวลาเปิด - ปิด:

- วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 9.00 - 18.00 น.

- หยุดวันจันทร์

โทรศัพท์: 084-625 2324

การเดินทาง:

- รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีวัดมังกร (300 เมตร) หรือ (MRT) สถานีหัวลำโพง (700 เมตร)

16. Na Café at Bangkok 1899
คาเฟ่หนึ่งเดียวในบ้านไม้สไตล์ยุโรปของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี 

บ้านของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ผู้เป็น “บิดาแห่งการศึกษาไทย” หลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2442 เพื่อใช้เป็นเรือนหอของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีและภริยา คฤหาสน์ไม้ทรงโคโลเนียล 2 ชั้นหลังนี้จึงมีประวัติยาวนานมากว่า 122 ปีแล้ว


เมื่อบ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีถูกบูรณะครั้งใหญ่ มีเจ้าของโรงแรมและร้านกาแฟหลายแห่งยื่นข้อเสนอมูลค่ามหาศาลเพื่อใช้พื้นที่ในการพาณิชย์ แต่ข้อเสนอก็ถูกเจ้าของบ้านปฏิเสธไปจนหมด หากชุมชนและสังคมส่วนรวมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จนถึงปัจจุบันนี้ มีเพียง Na Cafe at Bangkok 1899 เพียงแห่งเดียวที่ได้รับการอนุญาตให้สร้างขึ้นในบ้านเก่า 100 ปีของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีหลังนี้ โดยนอกเหนือจากการเป็นร้านกาแฟและร้านอาหารแล้ว Na Café ยังมีคอนเซปต์ในการเป็น Zero Waste ไร้ขยะ เลือกใช้แต่วัตถุดิบท้องถิ่น และยังเป็นศูนย์รวมแห่งแรงบันดาลใจ ศิลปะ และความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์อีกด้วย


ด้วยบรรยากาศของบ้านเก่าโบราณ เป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน 2 ชั้นสไตล์โคโลเนียลสุดคลาสสิค ภายในบ้านยังคงคอนเซ็ปต์ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ทรงยุโรปเก่าๆ แต่แฝงไว้ด้วยลูกเล่นความเป็นสมัยใหม่ด้วยไฟนีออน แสงสีฉูดฉาด เกิดเป็นงานศิลปะที่ถูกจัดวางและออกแบบมาได้อย่างลงตัว รับรองว่าจะเป็นมุมที่ถูกใจสำหรับคนชื่นชอบการถ่ายรูป อย่างแน่นอน


ร้าน: Na Café at Bangkok 1899

ที่ตั้ง: บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์ 134 ถนนนครสวรรค์ แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 10.00 – 19.00 น.

โทรศัพท์: 096-925 7828, 089-164 4454

การเดินทาง: รถส่วนตัว มีที่จอดรถ

17. HĒIJīi Bangkok
โรงน้ำชาที่อบอวลไปด้วยความทรงจำวัยเด็ก 

“HĒIJīi Bangkok (เฮย จี)” คาเฟ่สไตล์จีนร่วมสมัยที่ซ่อนตัวในตึกเก่าของคุณมิค–ประภาส ระสินานนท์ เจ้าของร้านผู้ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวของคนไทยเชื้อสายจีนแท้ๆ ที่ได้นำเอาประสบการณ์และความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก ผนวกกับความหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในย่านเจริญกรุงมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบร้าน เมนูอาหารและเครื่องดื่มให้มีความคลาสสิกในแบบจีนกลมกลืนไปกับชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิม ทำให้คาเฟ่แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็น ‘โรงน้ำชา’ ที่นั่งพักระหว่างทางสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาในย่านนี้


ที่มาของชื่อร้าน Hēijīi Bangkok และรูปไก่ดำโลโก้ประจำร้าน มาจากคำว่า ‘เฮยจี’ ซึ่งหมายถึง ‘ไก่ดำ’ ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากความทรงจำในวัยเด็กของคุณมิค เมื่อครั้งที่คุณแม่มักทำเมนูไก่ดำตุ๋นยาจีนให้ทานอยู่บ่อยๆ


บรรยากาศในร้านยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความดั้งเดิมในสไตล์จีนประยุกต์ไว้เกือบ 80% ไม่ว่าจะเป็นหลังคาจีนโบราณ ประตูบานเฟี้ยมแบบห้องแถวชุมชนจีน เฟอร์นิเจอร์แนววินเทจ งานไม้ ผนังอิฐปูนเปลือยที่คงเอกลักษณ์โครงสร้างดั้งเดิมของตัวอาคารไว้ แต่ก็ดูร่วมสมัยในแบบสไตล์ลอฟท์ เพดานสีเขียวใบแคโทนสีไทยๆที่คนสมัยก่อนนิยมใช้ทำให้ได้กลิ่นอายของความเป็นชุมชนจีนไว้อย่างครบถ้วน


ภายในร้านยังมีจุดเด่นเป็นตัวอักษรภาษาจีนตัวใหญ่ยักษ์บนกำแพงที่มีความหมายดีๆ ว่า ‘Wish You Good Luck’ หรือ ‘ขอให้โชคดี’ เสมือนเป็นคำอวยพรที่ทางร้านมอบให้แก่ผู้มาใช้บริการทุกคน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมุมเด็ดที่ไม่ควรพลาดการมาถ่ายรูปไปลงในโซเชี่ยลค่ะ


นอกเหนือจากการตกแต่งที่ร้านที่มีเอกลักษณ์ กรรมวิธีการชงกาแฟของทางร้านก็ยูนีคไม่เบา โดยเมนูร้อนจะใช้เมล็ดกาแฟ Seasonal ตามฤดูกาลที่นำมาชงด้วยอุปกรณ์ Aeropress ส่วนเมนูเย็นทางร้านจะใช้เมล็ดกาแฟ House Blend และชงด้วยอุปกรณ์ Cold Brew


เมนูแนะนำคือ Hot Coffee : EL Salvador (Aeropress) (95 บาท) กาแฟดำแบบร้อนที่เลือกใช้เมล็ดกาแฟของ El Salvador อาจจะใช้เวลาสักหน่อยเพราะเป็นการชงแบบละเมียดละไม แต่ให้รสชาติกลมกล่อมคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอน สำหรับใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ลองสั่ง Hongkong Papaya Milk (85 บาท) นมสดปั่นกับมะละกอสดสูตรฮ่องกง ให้รสหวานอย่างเป็นธรรมชาติ เสิร์ฟมาในแก้วแบบ Take Away ที่ใช้กระดาษสีน้ำตาลสกรีนโลโก้รูปไก่ตราสัญลักษณ์ของคาเฟ่แทนฝาแก้วพลาสติกทั่วไป


เมนูเค้กโฮมเมดสูตรเฉพาะของทานร้านก็จัดว่าอร่อยและไม่ควรพลาด แนะนำเมนูไฮไลท์ Financier with Kumquat Sauce (150 บาท) ขนมเค้กสไตล์ฝรั่งเศสขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีส่วนผสมของเนย ไข่ และอัลมอนด์ มีสีเหลืองเข้ม กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมกับแยมส้มจีนที่ทางร้านทำเอง โดยใช้ส้มจีนที่ปลูกไว้ด้านหน้าร้านมาเป็นวัตถุดิบให้รสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอมสดชื่นของส้ม ใครได้ลองชิมรับรองว่าต้องติดใจ! และเมนู Earl Grey Chiffon (150 บาท) เค้กชิฟฟ่อนเนื้อนุ่มที่มีส่วนผสมของชาเอิร์ลเกรย์หอมๆ สอดไส้ครีมและอัลมอนด์ที่นำไปผัดกับน้ำตาล ให้ความกรอบและความหวานกำลังดี ผสมผสานกันอย่างลงตัว


ร้าน: HĒIJīi Bangkok

ที่ตั้ง: 415 ซอยเจริญกรุง 43 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

เวลาเปิด - ปิด: ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 9.00 - 18.00 น. [ช่วงโควิด ยังไม่เปิดให้บริการทานในร้าน ทานได้เฉพาะหน้าร้าน]

โทรศัพท์: 062-709 4545

การเดินทาง:

- รถยนต์ส่วนตัว: จอดรถได้ที่ตึก Cat Tower หรือไปรษณีย์กลางบางรัก (ค่าจอดรถชั่วโมงละ 20 บาท)

18. Simiao Kafei
คาเฟ่เก๋ๆ สไตล์จี๊น..จีนหน้าวัดราชบพิธ 

“Simiao Kafei (อ่านว่า ซื่อเมี่ยว คาเฟย)” เป็นชื่อร้านในภาษาจีนแมนดารินที่มีความหมายว่า “ร้านกาแฟข้างวัด” เนื่องจากร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดราชบพิธพอดิบพอดี คาเฟ่นี้ถูกรีโนเวทมาจากตึกชิโนโปรตุกีสที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมอายุกว่า 150 ปี มาเป็นคาเฟ่ร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายสไตล์โอเรียลทอลแบบจีน


ทางร้านยังคงรักษาโครงสร้างเดิมของตึกแถวก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นแบบตะวันตกเอาไว้ แล้วต่อเติม Arcade หน้าบ้านด้วยบานประตูหน้าต่างสีเข้ม เพิ่มเติมความเก๋ไก๋ด้วยรถคลาสสิกที่จอดโชว์เป็นซิกเนเจอร์อยู่ประจำหน้าร้าน


ภายในร้านตกแต่งด้วยหน้าต่างทรงกลมขนาดใหญ่ และเคาน์เตอร์ดีไซน์แบบตะวันออก มีภาพวาดกราฟฟิตี้รูปหญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าที่บรรจงเพนต์ลงบนผนังปูนเปลือย ซึ่งกลายเป็นเสมือนมุมบังคับที่แขกผู้มาเยือนอดใจไม่ไหวต้องถ่ายภาพเก๋ๆไว้เป็นที่ระลึก


ลึกเข้าไปด้านในจะเป็นลานกลางบ้านที่มีแสงสว่างส่องผ่านจากด้านบน เดิมตรงนี้คือ “ซิมแจ้” หรือบ่อน้ำในบ้าน เอกลักษณ์ของบ้านสไตล์จีนโบราณที่ถูกปรับเป็นมุมนั่งชิลสำหรับคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัว ที่ไม่ต้องกลัวร้อนเพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา


นอกจากบรรยากาศภายในร้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว เมนูต่าง ๆ ของทางร้านยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่เข้ามาในร้านได้สัมผัสถึงความเป็น Simiao Kafei โดยความพิเศษของกาแฟของร้านคือการเลือกใช้เมล็ดกาแฟจากไร่จือปาและแสงชัย โรงคั่วที่ชนะเลิศการประกวดการคั่วเมล็ดกาแฟแห่งประเทศไทย ที่นำมาคั่วโดยนักคั่วแชมป์ประเทศไทยที่ตั้งใจเบลนด์กาแฟสเปเชียลตี้มาให้เป็นพิเศษ เมนู signature คือ Piccolo Hot Latte (100 บาท) กาแฟนมแก้วเล็กที่มีสัมผัสความนุ่มนวลหอมมันจากการผสมผสานของเอสเปรสโซช็อตซึ่งมีรสชาติของดาร์กช็อกโกแลตที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้ง ดอกไม้แห้ง และเบอร์รีแห้ง อีกเมนูที่เป็น Signature ของร้านคือ ก๊กเฟย (180 บาท) เมนูคลายร้อน ซึ่งมีส่วนผสมของเก๊กฮวย Cold Brew กับ Black Honey Cold Brew ที่อยากแนะนำให้คุณได้ลองชิมกัน


ร้าน: Simiao Kafei

ที่ตั้ง: 121 ถนนเฟื่องนคร

เวลาเปิด - ปิด:

- วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 8.00-17.00 น.,

- วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 8.00-18.00 น.

- หยุดวันจันทร์

โทรศัพท์: 091-885 1903

การเดินทาง: รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีสามยอด ทางออก 3



หมายเหตุ

วัน-เวลาในการเปิดให้บริการของแต่ละร้านอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นะคะ ใครสนใจตามลายแทงไปร้านไหน อย่าลืม เช็คกับทางร้านก่อนด้วยนะ..จะได้ไม่ไปเสียเที่ยวค่ะ

จันท์สเตลล่า กระเบื้องมุงหลังคาแบบโบราณ ที่ทำด้วยมือ..และอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยไว้ด้วยใจ

Comments


โพสต์: Blog2_Post
bottom of page